ข้อ ๑๓ ได้รับปรึกษาหารือ หรือได้รู้เรื่องกรณีแห่งคดีใดโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง แล้วภายหลังไปรับเป็นทนายความหรือใช้ความรู้ที่ได้มานั้นช่วยเหลือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่ในกรณีเดียวกัน
หลักการของมรรยาททนายความในข้อนี้ คือ หลักการไม่ทำหน้าที่เป็นปรปักษ์กับลูกความของตน (Conflict of Interest)
----------------------
ทนายความเป็นอาชีพอิสระ ที่อาจรับงานคดีเป็นการทั่วไปอาจมีผู้มาปรึกษาคดี เล่าข้อเท็จจริงให้ทนายความทราบ เพื่อขอคำแนะนำ หรืออาจมอบหมายให้ทนายความดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดในทางกฎหมาย ทำให้ทนายความล่วงรู้ข้อเท็จจริงของบุคคลดังกล่าว ต่อมามีคู่ปรปักษ์ของฝ่ายดังกล่าวมาปรึกษาคดี หรือมอบหมายให้ทนายความเป็นทนายความให้ ซึ่งอาจจะให้ค่าตอบแทนสูงกว่าลูกความคนเดิม หรือทนายความกับลูกความคนเดิมไม่อาจตกลงค่าจ้างกันได้ จึงไม่ได้มอบหมายคดีให้ทนายความดำเนินการ หากทนายความรับเป็นทนายความให้แก่ลูกความคนใหม่ โดยใช้ข้อเท็จจริงที่ตนได้รับรู้มาจากการทำหน้าที่ดังกล่าวมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีช่วยเหลือลูกความที่เป็นคู่ปรปักษ์ดังกล่าว ก็มีความผิดตามข้อนี้
(ดูคำสั่งสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความที่ 5/2539 ที่กล่าวมาในข้อ 3.2.3 ด้วย)
------------------------
ข้อบังคับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทนายความมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้รับเพียงอย่างเดียว ทนายความจะต้องเก็บรักษาความลับที่ตนได้ทราบจากการประกอบวิชาชีพไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ลูกความและบุคคลที่เคยเป็นลูกความของตนตลอดไป แม้ว่าเขาไม่ได้เป็นลูกความของตนอีกแล้ว
-----------------------
เคยมีกรณีที่เกิดขึ้น นาย ม. เป็นนิติกรของกระทรวงการคลัง มีหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงในความผิดอันเกี่ยวกับคดีเศรษฐกิจ เมื่อสอบสวนคดีเสร็จแล้ว นาย ม. ได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการกระทรวงการคลังมาประกอบอาชีพทนายความ แล้วรับเป็นทนายความแก้ต่างให้แก่ผู้ต้องหาที่ตนเคยสอบสวนคดี และใช้ข้อเท็จจริงที่ตนล่วงรู้มาในขณะทำหน้าที่สอบสวนคดีมาเป็นประโยชน์ นาย ม. จึงมีความผิดตามข้อบังคับนี้
Online: 1
Today: 2
Yesterday: 2
Week: 6
Month: 35
Year: 1005
Total: 2153
Record: 163 (03.11.2023)