ข้อ ๑๔ ได้รับเป็นทนายความแล้ว ภายหลังใช้อุบายด้วยประการใดๆ โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เพื่อจะให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ลูกความได้ตกลงสัญญาให้
ลูกความที่ต้องใช้บริการทางด้านกฎหมายจากทนายความ ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย จำต้องพึ่งพาทนายความ และการที่ทนายความทราบข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นอย่างดีแล้ว ทนายความบางคนอาจใช้อุบายเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ได้ตกลงไว้กับลูกความ เช่น ทนายความตกลงค่าจ้างว่าความเป็นเงิน 50,000 บาท เมื่อดำเนินคดีไปบางส่วนแล้ว ก็แจ้งแก่ลูกความว่า ดดีจะแพ้ ต้องวิ่งเต้นคดี ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวิ่งเต้นคดีเป็นเงิน 500,000 บาท ลูกความหลงเชื่อมอบเงินให้แก่ทนายความ ความจริงแล้วเงินดังกล่าวมิได้มีการนำไปใช้จ่ายในการวิ่งเต้นคดี ทนายความรับเป็นประโยชน์ของตนเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อุบายเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ลูกความได้ตกลงสัญญาให้ อันเป็นความผิดตามข้อบังคับนี้
------------------
หรือในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาปิดบังไม่ให้ผู้กล่าวหาเห็นโทรศัพท์มือถือที่ยึดจากลูกหนี้เป็นหลักประกัน โดยอ้างว่านำไปซ่อม ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานการซ่อมหรือมีเหตุจำเป็นต้องซ่อม โดยไม่บอกกล่าวผู้กล่าวหา แล้วใช้โทรศัพท์ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยอ้างว่าเพื่อรักษาโทรศัพท์ ถือได้ว่าเป็นการใช้อุบายใดๆ โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อให้ได้ประโยซน์นอกเหนือจากที่ลูกความตกลงสัญญาให้ อันเป็นความผิดในข้อนี้
(คำสั่งสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความที่ 8/2540)
------------------
ภรรยาผู้กล่าวหาฟ้องคดีมรดก ศาลพิพากษายกฟ้อง จึงได้ยื่นอุทธรณ์ ระหว่างอุทธรณ์ได้รู้จักกับผู้ถูกกล่าวหา และพวก บุคคลทั้งสองได้หลอกลวงผู้กล่าวหา และภรรยาหากต้องการให้คดีชนะ จะต้องวิ่งเต้นผู้พิพากษา และอ้างว่ารู้จักผู้พิพากษา ระดับสูงหลายคน สามารถดำเนินการได้ โดยเรียกค่าวิ่งเต้น 1,000,000 บาท ผู้กล่าวหาได้จ่ายเงินเป็นเช็คธนาคารครั้งแรก 200,000 บาท ครั้งที่สอง 800,000 บาท โดยผู้ถูกกล่าวหากับพวกได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้ไว้เป็นหลักฐานการรับเงิน และสัญญาว่าถ้าวิ่งเต้นไม่สำเร็จจะคืนเงินให้ทั้งหมด ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ผู้กล่าวหาจึงขอเงินคืนทั้งหมดแต่ ผู้ถูกกล่าวหาไม่คืนผู้ถูกกล่าวหาประกอบวิชาชีพทนายความแต่ไม่ได้ให้คำปรึกษาแก่คู่ความ และภรรยา กลับแนะนำให้วิ่งเต้นคดีเพื่อชนะคดีเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และผู้ถูกกล่าวหาเคยถูกลงโทษภาคทัณฑ์และว่ากล่าวตักเตือน ในคดีมรรยาททนายความมาก่อน คณะกรรมการสภาทนายความให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาเนื่องจากประพฤติผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 14 และ ข้อ 18 อย่างร้ายแรง ให้ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์ แห่งคดีแล้ว เมื่อพิจารณาจากคำสั่ง 24/2545 ถือได้ว่า เป็นการลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นลบชื่อจากการเป็นทนายความ ซึ่งถือได้ว่าจะมาประกอบวิชาชีพทนายความอีกไม่ได้แล้ว
(คำสั่งสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความที่ 24/2555)
Online: 1
Today: 2
Yesterday: 2
Week: 6
Month: 35
Year: 1005
Total: 2153
Record: 163 (03.11.2023)