นาวิน ขำแป้น
[ทนายความ]
วันที่เพิ่ม : วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19:36:10
ปรับปรุงล่าสุด : วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19:36:10
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา ๑๔๗
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา ๑๕๑
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 มาตรา ๑๕๔
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่ เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใด โดยทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินนั้นหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดเพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสีย หรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา ๑๕๗
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 มาตรา ๑๕๘
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ หรือเอกสารใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 มาตรา ๓๕๒
ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1184 / 2505คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยเป็นปลัดอำเภอทำหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนส่งเจ้าหน้าที่เพื่อพิจารณาสั่งอนุญาตแล้วจึงเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ร้องขออนุญาตนั้น. หากรับคำขอจดทะเบียนและเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมไว้แล้วเบียดบังเงินค่าธรรมเนียมทั้งหมดเสีย และทำให้คำขอจดทะเบียนสูญหายไปบ้างบางส่วนนั้น จำเลยย่อมมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 หาผิดตามมาตรา 151,154,157,158,352 ด้วยไม่
คำพิพากษาย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 กันยายน 2501 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยซึ่งเป็นปลัดอำเภอมีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนซึ่งทางราชการอนุญาตให้ผู้มีอาวุธปืนไม่จดทะเบียนเพื่อส่งเจ้าหน้าที่พิจารณาสั่งอนุญาตให้จดทะเบียนแล้วจึงเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ร้องขออนุญาตได้ จำเลยได้รับคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนจากผู้มีชื่อไว้ 347 ราย แล้วไม่นำส่งเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สั่งคำขอตามระเบียบ และจำเลยได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการขอจดทะเบียนสูญหายไป ทำให้เกิดเสียหายแก่ผู้ร้องขอ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 154, 157, 158, 352 ขอให้คืนหรือใช้เงินแก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยให้การภาคเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยแสดงตนว่ามีหน้าที่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากราษฎร ผู้มาขอจดทะเบียนอาวุธปืนโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้วยักยอกเงินและทำให้คำร้องขอจดทะเบียนสูญหายไป 218 รายพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 154, 157, 158, 352 รวมกระทงลงโทษจำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนและใช้เงิน 33,325 บาท แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานโจทก์ขัดแย้งกันอยู่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
อัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษ
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความรับฟังเชื่อเป็นความจริงได้โดยปราศจากข้อสงสัย เพราะนอกจากเงินค่าธรรมเนียมที่จำเลยกับนายสมบุญร่วมกันรับไว้จากราษฎรผู้ขอจดทะเบียนอาวุธปืนจำนวน 347 ราย จะขาดหายไปแล้ว คำขอก็สูญหายไปถึง 218 รายอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นแต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, 154, 157, 158 และมาตรา 352 แล้ว รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยมานั้นยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 147 เพียงมาตราเดียว
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 คงให้จำคุกจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษา
เชื้อ คงคากุล
ประกอบ หุตะสิงห์
จิตติ ติงศภัทิย์
กดถูกใจเป็นคนแรกสิ!
นาวิน ขำแป้น
[ทนายความ]
วันที่เพิ่ม : วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20:05:24
ปรับปรุงล่าสุด : วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20:06:54
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 มาตรา ๗๘
เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกันประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาตรา ๙๐
เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา ๑๔๗
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา ๑๕๗
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 มาตรา ๑๕๘
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ หรือเอกสารใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 2175 / 2529คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรที่จำเลยสังกัดกำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างซ่อมแซมสถานที่ราชการและมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างเขียนใบเสร็จรับเงินเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรต้นสังกัดลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้ส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการฯเพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปจำเลยมิได้นำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้จำนวน 7,600 บาทส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบจนพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบและแนะนำให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคลังจำเลยจึงปฏิบัติตามพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157,158 แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะของมาตรา 157 แล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157,158
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157,158 แต่การกระทำของจำเมาตรา 147,157,158 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 5 ปี จำเลยชดใช้เงินคืนแล้วเป็นการบรรเทาผลร้ายเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 6 เดือน จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ที่ 72/2523โดยเฉพาะข้อ 9.9 กำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ตลอดจนการซ่อมแซมสถานที่ราชการ และผู้บังคับบัญชามอบหมายให้จำเลยมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้าง ตลอดจนเป็นผู้เขียนใบเสร็จรับเงินนำเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลยลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างนั้นส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย เพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปด้วย ต่อมาพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบว่าเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างรวมเป็นเงิน 7,600 บาทจำเลยยังมิได้นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบของทางราชการพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต เมื่อพนักงานตรวจเงินแผ่นดินแนะนำให้จำเลยนำเงินส่งคลัง จำเลยก็จัดการนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคืนเป็นรายได้ของแผ่นดินในภายหลัง ที่จำเลยฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างและรับเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน และการที่จำเลยไม่นำเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินก็เพราะหาใบเสร็จรับเงินไม่พบ จำเลยจึงเก็บเงินนั้น เมื่อพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจพบและแนะนำให้จำเลยเอาเงินส่งคลัง จำเลยก็ได้จัดการนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินจนครบ จำเลยมิได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและไม่มีเจตนาเบียดบังทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาทั้งสิ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับลงโทษจำเลยว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157,158 ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนักนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว การกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นทั่วไปอีก ปัญหาเรื่องการปรับบทมาตราลงโทษจำเลยนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้พิพากษา
ไพจิตร วิเศษโกสิน
อาจ ปัญญาดิลก
ดำรง สายเชื้อ
กดถูกใจเป็นคนแรกสิ!