นาวิน ขำแป้น
[ทนายความ]
วันที่เพิ่ม : วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23:54:02
ปรับปรุงล่าสุด : วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23:58:54
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 มาตรา ๘๖
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาตรา ๙๐
เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาตรา ๙๑
เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนด ดังต่อไปนี้
(๑) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
(๒) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
(๓) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 มาตรา ๒๗๘
ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสอง ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าผู้กระทำมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสอง ได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใช้อาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำกับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิตประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 มาตรา ๒๙๕
ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 มาตรา ๓๓๙
ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(๒) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(๓) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(๔) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(๕) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท
ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดแห่งมาตรา ๓๓๕ หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 มาตรา ๓๖๔
ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 มาตรา ๓๖๕
ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ หรือมาตรา ๓๖๔ ได้กระทำ
(๑) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
(๓) ในเวลากลางคืน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 4066 / 2545การที่จำเลยที่ 1 เปลือยกายถืออาวุธมีดเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 พอดีผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พูดขู่มิให้ร้อง ผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียง จำเลยที่ 1 จึงชกปากผู้เสียหายที่ 1 และเอามือซ้ายยัดเข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 จึงกัดนิ้วของจำเลยที่ 1 และดิ้นจนตกจากเตียงนอน ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ถูกอาวุธมีดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ถือมาบาดที่ข้อมือซ้าย ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันไม่สมควรทางเพศแก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว จึงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหายที่ 3 เข้ามาในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ทำร้าย และหยิบเอากระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ ซึ่งผู้เสียหายที่ 3 นำมาด้วย และตกอยู่ที่พื้นไป ก่อนจะหลบหนี จำเลยที่ 1 วิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 และยังใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นการลักอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยทุจริต โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกในการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม
คำพิพากษาย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 14746/2542 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยสำนวนนี้ว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ยุติแล้ว ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะสำนวนนี้
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 295, 339, 364, 365, 86, 90, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 339 วรรคสาม, 365 (1) (2) และ (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธโดยใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ฐานชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 14 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนการกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ประกอบมาตรา 86 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มี ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า เหตุเกิดเวลาประมาณ 2 นาฬิกา คนร้ายที่ก่อเหตุคือจำเลยที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 เริ่มเห็นคนร้ายตั้งแต่ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ยังนอนไม่หลับและรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ปลายเท้าชิดเตียงนอนแล้วเดินขึ้นมาถึงบริเวณไหล่ของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ลืมตาขึ้นก็เห็นชายคนหนึ่งไม่สวมเสื้อ ผมหยิกฟู จมูกโด่งเหมือนแขก มีผ้ายืดสีขาวคาดอยู่ที่บริเวณปากและพูดขู่มิให้ร้องโดยพูดว่าอย่าร้องนะ ผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียง จึงถูกคนร้ายชกที่ปากและเอามือข้างซ้าย 4 นิ้ว ยัดเข้าไปในปากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อกดลิ้นมิให้ผู้เสียหายที่ 1 ร้องได้ ผู้เสียหายที่ 1 กัดนิ้วของคนร้ายและดิ้นจนตกเตียงนอนก็ถูกอาวุธมีดของคนร้ายที่ถือมาบาดที่ข้อมือซ้าย จากนั้นผู้เสียหายที่ 3 ก็เข้าไปช่วยผู้เสียหายที่ 1 ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 วิ่งหนีลงไปที่ห้องโถงได้ ในคืนเดียวกันหลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 ได้ระบุยืนยันกับเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 1 คือคนร้าย ต่อมาในวันที่ 26 เดือนเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจัดให้ชี้ตัวคนร้าย ผู้เสียหายที่ 1 ก็ชี้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย ส่วนผู้เสียหายที่ 3 เบิกความว่าเมื่อได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 1 ร้อง ก็รีบออกจากห้องนอนพร้อมหยิบกระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ไปยังห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ครั้นเปิดประตูห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ได้ และเข้าไป ก็พบชายคนร้ายเปลือยกายกำลังทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 คนร้ายหันหน้ามาทางผู้เสียหายที่ 3 และวิ่งสวนผู้เสียหายที่ 3 กระเป๋าที่มีอาวุธปืนเก็บไว้ตกลงไปอยู่ที่พื้นห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นได้เกิดต่อสู้กันขึ้น โดยผู้เสียหายที่ 3 พยายามใช้มือดึงอวัยวะเพศของคนร้าย จึงได้เห็นบริเวณเหนือข้อเท้าด้านหลังขวาของคนร้ายมีรอยด่าง แต่ผู้เสียหายที่ 3 ก็ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดฟันถูกที่ บริเวณมือขวา ระหว่างต่อสู้กันผ้าที่คนร้ายคาดไว้ที่ปากได้หลุดออก ผู้เสียหายที่ 3 เห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจน เห็นว่า จากพยานหลักฐานโจทก์ที่ปรากฏ ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็นสตรี มีวุฒิภาวะและสถานะทางสังคมที่ดี เนื่องจากประกอบวิชาชีพเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะรับฟังว่าปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 และสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ก็มีช่วงเวลาเผชิญหน้ากับคนร้ายนานพอควร โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 3 ได้ต่อสู้โดยพยายยามดึงอวัยวะเพศของคนร้ายซึ่งเป็นจุดอ่อนของเพศชายเนื่องจากคนร้ายเปลือยกาย ภายในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ก็มีแสงไฟสปอทไลท์ซึ่งติดอยู่หน้าบ้านใกล้กับหน้าต่างห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีม่านบาง ๆ ส่องให้ภายในห้องนอนสว่างอยู่บ้าง กับแสงไฟฟ้าภายในห้องน้ำที่ผู้เสียหายที่ 3 เปิดตามไฟไว้ ซึ่งเป็นบริเวณที่ผู้เสียหายที่ 3 ต่อสู้กับคนร้าย ประกอบกับที่บริเวณเหนือข้อเท้าด้านหลังขวาของจำเลยที่ 1 ก็มีรอยด่างเป็นทำนองเดียวกับที่ผู้เสียหายที่ 3 เบิกความ ปรากฏต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2541 ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์รวมไปถึงพฤติการณ์อันเป็นพิรุธของจำเลยที่ 2 และการที่คนร้ายเข้าไปภายในบ้านของผู้เสียหายทั้งสามได้โดยง่าย ย่อมมีเหตุผลให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 คือคนร้ายที่ก่อเหตุคดีนี้ พยานจำเลยที่ 1 ที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ล้วนเป็นเครือญาติหรือเพื่อนบ้านกับจำเลยที่ 1 มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 เปลือยกายถืออาวุธมีดเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ในเวลากลางคืน พอดีผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พูดขู่มิให้ร้อง ผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียง จำเลยที่ 1 จึงชกปากผู้เสียหายที่ 1 และเอามือซ้ายยัดเข้าไปในปากผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 จึงกัดนิ้วของจำเลยที่ 1 และดิ้นจนตกจากเตียงนอน และระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ถูกอาวุธมีดของจำเลยที่ 1 ที่ถือมาบาดที่ข้อมือซ้าย ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันไม่สมควรทางเพศแก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและได้ใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว จึงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) (2) และ (3) ประกอบมาตรา 364 หลังจากนั้น เมื่อผู้เสียหายที่ 3 เข้ามาที่ห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ทำร้าย และจำเลยที่ 1 หยิบกระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ ซึ่งผู้เสียหายที่ 3 นำมาด้วย และตกอยู่ที่พื้นไป ก่อนจะหลบหนี จำเลยที่ 1 วิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 และยังใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บจึงเป็นการลักอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยทุจริตโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกในการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยที่ 1 เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
ผู้พิพากษา
สมชาย จุลนิติ์
ดวงมาลย์ ศิลปอาชา
ชวลิต ตุลยสิงห์
กดถูกใจเป็นคนแรกสิ!